"
• ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังจากถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของ FED รวมถึงการอ่อนค่าของดอลลาร์ การคาดการณ์ภาวะน้ำมันตึงตัวหลังตุรกีสั่งปิดท่าเรือเจย์ฮันจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว และความต้องการใช้น้ำมันในจีนที่มีแนวโน้มฟื้นตัว
• ผู้ที่ถือกองทุนน้ำมันแนะนำให้คงน้ำหนักการลงทุน ส่วนผู้ที่ต้องการลงทุนเพิ่มแนะนำให้รอประเมินสถานการณ์
"
7 ก.พ. 66 ราคาน้ำมันดิบ WTI Spot ดอลลาร์สหรัฐปรับตัวขึ้น +4.04% เทียบกับวันก่อนหน้า และสัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์ก ส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น +3.03 ดอลลาร์ หรือ +4.09% ปิดที่ 77.14 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่งผลให้ราคากองทุน K-OIL ณ 7 ก.พ. 66 ปรับตัวเพิ่มขึ้น +2.63% เทียบกับวันก่อนหน้าด้วยเช่นกัน
ทำไมราคาน้ำมันดิบถึงปรับตัวเพิ่มขึ้น
ราคาน้ำมันดิบโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 4 ปัจจัยหนุน ได้แก่
1. นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของ FED หลังจากที่นายเจอโรม พาวเวล กล่าวสุนทรพจน์ในงานเสวนาซึ่งจัดโดยสมาคมเศรษฐกิจแห่งวอชิงตัน (Economic Club of Washington) เมื่อคืนวันที่ 7 ก.พ. ว่า ภาวะเงินเฟ้อที่ลดลง (Disinflationary) ซึ่งเป็นกระบวนการที่จะนำไปสู่การชะลอตัวของเงินเฟ้อนั้นเริ่มปรากฎให้เห็นแล้ว โดยเฉพาะในภาคสินค้า (Goods Sector) และในปี 2566 จะเป็นปีที่เงินเฟ้อชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม นายพาวเวล ยังกล่าวว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งเกินคาดในเดือนม.ค. ได้เน้นย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นที่ FED จะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปอีกระยะหนึ่ง
2. การอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ โดยดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.19% แตะที่ระดับ 103.4120 เมื่อคืนวันที่ 7 ก.พ. ทำให้สัญญาน้ำมันดิบซึ่งกำหนดราคาเป็นสกุลเงินดอลลาร์มีราคาถูกลงและน่าดึงดูดใจมากขึ้นสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่นๆ
3. การคาดการณ์เกี่ยวกับภาวะน้ำมันตึงตัวหลังจากตุรกีสั่งปิดท่าเรือเจย์ฮัน ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ซึ่งท่าเรือเจย์ฮันเป็นท่าเรือขนาดใหญ่ที่ส่งออกน้ำมันดิบมากกว่า 1 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนม.ค. คิดเป็น 1% ของปริมาณน้ำมันดิบทั่วโลก และส่วนใหญ่ส่งออกไปยังโรงกลั่นน้ำมันในยุโรป
4. นักลงทุนคาดหวังว่าความต้องการใช้น้ำมันในจีนจะฟื้นตัว หลังจากรัฐบาลจีนผ่อนคลายมาตรการควบคุม โควิดและเปิดประเทศ โดยสำนักงานพลังงานสากล (IEA) คาดว่า การขยายตัวของความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกในช่วงครึ่งแรกของปีนี้จะมาจากจีน
มุมมองการลงทุน
•แม้จะมีการปรับลดกำลังการผลิตจากกลุ่มโอเปกพลัสเพิ่ม และการคว่ำบาตรรัสเซียแบบเต็มซึ่งเริ่มขึ้นในต้นเดือนธ.ค. 65 ที่ผ่านมา แต่คาดว่าอุปสงค์ที่จะลดลงจากสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวมากกว่าปริมาณอุปทานที่จะหายไป และทำให้ตลาดน้ำมันโดยรวมยังคงมีสภาวะเป็น slightly oversupply อยู่
•คาดว่าราคาน้ำมันจะยังคงถูกกดดันอย่างต่อเนื่อง โดยมองกรอบราคาน้ำมัน WTI ณ สิ้นปี 66 ที่ประมาณ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
คำแนะนำการลงทุน
•ผู้ที่ถือกองทุนน้ำมัน เช่น K-OIL แนะนำให้คงน้ำหนักการลงทุน โดยหากพิจาณาผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี และ 5 ปี (ณ 6 ก.พ. 66) พบว่ากองทุน K-OIL ยังคงมีผลตอบแทนเป็นบวกอยู่ที่ +14.82% และ +4.71% ต่อปี ตามลำดับ
ส่วนผู้ที่ต้องการลงทุนเพิ่ม แนะนำให้รอประเมินสถานการณ์
•สำหรับผู้ที่คาดหวังผลตอบแทน
รับความเสี่ยงได้ หรือมีเวลาติดตามสถานการณ์การลงทุน แนะนำกองทุนหุ้นจีน เช่น K-CHINA ที่ราคากองทุนปรับขึ้นมาตั้งแต่เดือนพ.ย. 65
•สำหรับผู้ที่กังวลกับความผันผวนของตลาดหุ้น แต่ยังคงรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้หรือต้องการรับผลตอบแทนระยะยาว แนะนำลงทุนกองทุนผสม เช่น กองทุน K-GINCOME-A(A) ที่มีการแบ่งสัดส่วนและกระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายทั่วโลก ช่วยลดความผันผวนและความเสี่ยงจากการลงทุนในสินทรัพย์หรือหุ้นที่กระจุกตัวเพียงบางประเทศ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก:
•KAsset, Ryt9
Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”